We've moved!

My blog had its new home.

Like I said before, this blog is not really official. Now that I got a new server, I'm going WordPress.

You can find me at http://lunaticneko.com/blog for the new blog. Thanks for bearing with my many blog moves.

This one will remain up in case I need to scavenge old data and/or there are more people led through the old link. I hope I don't lose too much PageRank for this...

Thank you very much,
LunaticNeko.

2008-12-01

จันทร์ยิ้ม - Earthshine - 2008


เมื่อค่ำวันที่ 1 ธันวาคม 2551 ที่ผ่านมานี้หลายท่านคงได้เห็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่น่าสนใจ (ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะเห็นได้ด้วยตาเปล่า) และเห็นได้จากหลายจุดทั้งในเมืองและต่างจังหวัด หลายท่านได้โทรศัพท์มาหาผม (และสมาชิกในครอบครัวท่านอื่น ๆ ด้วย) เพราะอยากให้ออกไปดูด้วยตาตนเอง แต่ช้าไปครับ เพราะตอนที่ผมรับสายนั้นก็ถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อยแล้ว
On the deep dusk and beginning of night on 2008-12-01, many people would have sighted a notable astronomical phenomenon, be it from the city or upcountry. Many people have phoned me (and other family members) to watch it with our own eyes, but too late - I've already took the photographs when they called.

ภาพที่ทุกท่านได้เห็นคือ การเรียงตัวของดาวศุกร์ ดวงจันทร์ และดาวพฤหัสบดี ในลักษณะที่คล้ายใบหน้ายิ้มของมนุษย์
The sight was a nice arrangement of Venus, the Moon, and Jupiter, in a form like a smiling human face.

บางคนเรียกสิ่งนี้ว่าจันทร์ยิ้ม บางคนบอกว่ามันคือ Earthshine บางคนบอกว่ามันเป็นลางถึงความวุ่นวายของบ้านเมือง (แต่ผมว่าดาวอังคารต่างหากที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย) แต่จริง ๆ แล้วคำว่า Earthshine ไม่ได้หมายความถึงวันนี้เพียงวันเดียว หมายความว่าอย่างไร?!
Some call this "Smiling Moon", some call it "Earthshine", some foretell chaos of the nation (but I think Mars has more effect!). But in reality, "Earthshine" doesn't mean only this night. How do I mean, you ask?

จริง ๆ แล้ว Earthshine นี้เกิดขึ้นได้เป็นปกติในช่วงแรม 12-14 ค่ำ และช่วงข้างขึ้น 1-3 ค่ำ โดยเกิดจากแสงของดวงอาทิตย์สะท้อนโลกทำให้เกิดแสงสว่างบนดวงจันทร์ขึ้นมา แสงเรื่อ ๆ ที่เราเห็นจึงเป็นแสงของโลกด้านที่เป็นกลางวันสะท้อนใส่ดวงจันทร์
Actually, Earthshine can occur normally on nearly-new or just after new moons. Sunlight reflects off the day part of Earth and hits Moon's surface, illuminating it.

หวังว่าทุกท่านจะมีความสุขกับปรากฎการณ์ทางดาราศาสตร์ที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าในค่ำคืนนี้ และถึงแม้ว่าท่านใดที่ไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง ก็เลื่อนจอกลับไปดูให้เห็นได้อีกทีครับ ^__^
I hope you had good time with tonight's astronomical phenomenon. And to all who did not see tonight's Earthshine, please scroll back and see it again! ^__^

อ้างอิงข้อมูล / References:
Wikipedia/Earthshine
Vcharkarn.com [Thai]

2008-08-05

The 2008 Certiport Worldwide Competition on Microsoft Office

ในที่สุด วันนี้ก็มาถึง วันที่ทุกคน (?) รอคอย การแข่งขันยิ่งใหญ่ระดับโลก จากผู้เข้าแข่งขันระดับภูมิภาคในประเทศต่าง ๆ หลายหมื่นคน วันนี้ จะเหลือเพียงสองคนเท่านั้น ที่ได้รับเกียรติเป็น World Champion

Finally, the day comes. The competition started with many ten thousands of national-region competitors. Today, only two shall remain to be crowned as World Champions.

แนะนำตัวละคร - Characters Used in this Story
พี่อ๊อด วรเทพ มงคลวาที / "Aod", Mr. Worathep Mongkonvatee
ผู้จัดการ บริษัท ARiT สปอนเซอร์ในการจัดการแข่งขันครั้งนี้ครับ
Manager of ARiT, our commercial sponsor who took us there.

ป้าแอ๊ด จิตรา จันทรากุล / "Add", Mrs. Chitra Chantrakul
ตอนแรกก็งงว่าใครก็ไม่รู้ แต่ที่จริงแล้วท่านเป็นเศรษฐีภาคใต้!!! (เวอร์แล้วเรา)
I was confused at first. But actually (jokingly) she's a millionaire from the southern region!!

พี่แก้ว (เพ็ญพร กออนันตกูล) / "Kaew", Ms. Penporn Koanantakool (20)
สาววิศวะเกษตร KUS31 ศิษย์เก่า KUS ใจดี เรียบร้อย จากภายนอกดูเพอร์เฟคต์ทุกอย่าง แต่ถ้าคุยกันจริง ๆ จะรู้ว่าอัธยาศัยดีและเป็นคนสบาย ๆ แบบ KUS นี่แหละ
Studying Computer Engineering at Kasetsart University. She may look like a perfect all-round girl (and a bit reserved, IMHO) on the outside, but actually is an easy-going one like the rest of us Laboratory Schoolers.

สุดท้าย -- ข้าพเจ้าเอง = =" / (Me), Chawanat Nakasan (16)
ไม่ต้องอธิบายอะไรมากก็แล้วกัน รู้จักผมยังไง ก็ตามนั้นแหละ
No Description. How you know me? That's it.

วันแรก - Day 1 - 2008-07-29

Bangkok, Thailand
UA 838 from Bangkok to Narita
UA 880 from Narita to Honolulu
YV1003B (Mesa Airlines) from Honolulu to Kona Int'l.
ส่วนใหญ่ก็นั่งติดกับพี่แก้ว แล้วก็มักพยายามให้เค้ากินอะไรบ้าง (พี่เขาป่วยอยู่แต่ก็มาไหว นับถือ ๆ ^_^)
I mostly sat with Kaew-senpai, attempting to convince her to eat something on the flights.

ถึง Narita (NAA) ตอนบ่าย รอ Connecting Flight 4 ชั่วโมง แล้วค่อยไปถึง Honolulu (HNL) ตอนเช้าครับ จะบอกว่ามันสวยมาก ๆ เลยละ พี่แก้วนั่งดูหน้าต่างอยู่จนผมตกใจตื่น แต่มันก็สวยดีจริง ๆ
We arrived at Narita Airport (NAA) in the afternoon, waited for connecting flight to Honolulu (HNL) and arrived in the morning. The sight of the sunlight cracking through the clouds was beautiful.

หมดไปแล้ววันนึง นอนบนเครื่องนั่นแหละ แต่ก็ยังเป็นวันที่ 29 เหมือนเดิมนะ!
I slept and wasted a day on the planes. It's still 29th however!

วันที่สอง - Day 2 - 2008-07-29 (due to crossing the International Date Line)
Kona, Hawaii (อย่าเติมอะไรที่ Kona นะครับ!)
ตอนเที่ยง ๆ บ่าย ๆ ก็มาถึงที่ Kona International Airport (KOA) ก็เลยรีบเรียกแท็กซี่เข้าไปที่ Uncle Billy's Kona Hotel ซะเลย
We arrived at Kona International Airport (KOA) in the afternoon, so we caught a taxi to Uncle Billy's Kona Hotel.

ตัวโรงแรมก็ไม่มีอะไรมากครับ ก็จะเป็นห้องพักธรรมดาเหมือนโรงแรมทั่วไปนี่ละ แต่ถ้าใครทราบว่าทำไมต้องมีหมอนสี่ใบต่อเตียงทั้ง ๆ ที่ห้องมีไว้นอนสองคนก็บอกด้วยนะครับ อ้อ อาหารโรงแรมนี้เค็มเกินบรรยายแทบทุกชนิดเลยละ (กินวันที่ 3-4 แต่รีวิวไว้ก่อนเลย) ไม่รู้ว่าคนฮาวายเขากินกันแบบนี้ทุกคนรึเปล่า
The hotel was, to my expectations, "ordinary". However, I can't figure out why do they need to give us 4 pillows on a bed for a room for two. Also, the foods at this hotel was extremely salty (we ate this on Day 3 and 4, but I just like to post it here.), I'm not sure if this is a Hawaiian style of eating or not.

พี่แก้วไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ พวกเราจึงลากสังขารไปยัง Walmart สาขา Kona ด้วยการ... การ... การเดิน!!! สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้ออะไรมาก โดยผมกับป้าแอ๊ดซื้อของรวมกัน ~$38 แต่พี่อ๊อดล่อไปซะ $312!!!
Since Kaew-senpai wasn't feeling well, we dragged our old ragged beings to Kona Walmart by... by... ourselves, on our feet!!! Ms. Add and I did not buy much, just around $38, but Mr. Aod's bills struck my eye... $312!!! (What did he buy?!)

ตอนเย็นพวกเราก็พาพี่แก้วออกไปหาอะไรกิน ก็กินอาหารญี่ปุ่นกันนิดหน่อยแล้วกลับหอครับ สุดท้ายผมก็พยายามทำตัวให้สนิทกับพี่เขาให้มากขึ้น เพราะยังไงซะวิศวะก็แบบนี้ทั้งนั้นแหละน่า!
We brought Kaew-senpai to dinner in the evening. It's a small meal of Japanese food. I decided to reduce my formality to her after that. She's an engineering student after all!

วันที่สาม - Day 3 - 2008-07-30
Kona, Hawaii
ตื่นกันเช้า ๆ พอสมควร จากนั้นเราก็ไปเดินในเมือง พยายามหาทัวร์สั้น ๆ วันเดียว แต่ก็ไม่มีหรอกครับสำหรับคนที่ไม่เตรียมอะไรเลยอย่างพวกเรา ก็เลยจบลงด้วยการเดินเที่ยวเล่นภายในเมือง มีอะไรกินก็กิน ตอนกลางคืนมีวงดนตรีเล็ก ๆ มานั่งเล่นให้ฟัง พี่แก้วกับป้าแอ๊ด (ไม่ใครก็ใครละ) ไปซื้อแผ่นเขามาอีกแน่ะ = ="
We woke up quite fast this day, and walked around the town area, finding some day-trips. However, there is nothing there for the unprepared. We ended up sightseeing and walking around the town (pointlessly!). Later in the evening, there was a couple of musical performers at the Kona Inn Marketplace. One of the girls (or to be exact, "girl and grandmother") bought a CD from them as well. I didn't know why, though.

วันที่สี่ - Day 4 - 2008-07-31
Kona, Hawaii

วันนี้พวกเราก็ตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง กินข้าวเช้าจากที่นี่ไปเพราะไม่รู้ว่าไปถึง Hilton แล้วจะมีอะไรกินบ้าง (แม้ว่าไส้กรอกมันจะเค็มนรกก็เถอะ) จากนั้นเราก็โทรเรียกแท็กซี่เอา ง่ายดี
We woke up today, had some (excessively salty) breakfast from Billy's because we didn't know what would we have at Hilton. We called for a taxi after the meal.

ไปถึง Hilton เสร็จก็เอากระเป๋าไปเก็บและลงทะเบียน พี่แก้วกับป้าแอ๊ดยังไม่มีห้อง เลยพูดกันเล่น ๆ ว่าจะนอนห้องเดียวกัน (แต่สุดท้ายพี่อ๊อดก็ไปหาห้องมาให้ใหม่ วิวสวยอย่างแรงเลยว๊อยยยยย T_T) แล้วค่อยลงมากินข้าว ซึ่งมันก็เป็นบุฟเฟ่ต์ธรรมดา ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่มันหรู ดูดี และกินกลางแดด O_O
Finally arrived at Hilton Waikoloa Village hotel. Registered and moved in. Kaew-senpai and Ms. Add didn't have their room yet, so we jokingly discussed how should we share the room. (However, Mr. Aod finally got them a room with better scenery than ours!) The lunch was an ordinary buffet... out in the sunlight O_O

อ้อ เกือบลืม ก่อนกินข้าวประมาณ 1000-1200 พวกเรามีเวลาฝึกซ้อมและทดสอบอุปกรณ์ต่อพ่วง (Keyboard & Mouse) ที่เอาไปเอง และก่อนหน้านั้นต้องฟังคำชี้แจงและรับเสื้อ รวมไปถึงของที่ระลึกอื่น ๆ ด้วย
Oh my, I almost forgot to mention that before lunch, at about 1000-1200 we had to have a practice run with our own keyboards and mouses to ensure that they do work. We also had to hear and acknowledge the information and other things we should know, get a shirt, and some more stuffs to keep.

การสอบเริ่มขึ้นในตอนบ่าย โดยผมกับพี่แก้วได้อยู่รอบเดียวกัน คือรอบ 1430 hrs (2:30 PM) ก่อนสอบเอา Touhou Project #8 มานั่งเล่นอีกหน่อย แล้วก็ทวนเรื่อง Macro กับ Collaboration กับพี่แก้ว แล้วค่อยไปสอบครับ
The testing starts in the afternoon. Both of Thailand competitors have got the same time, 1430 hrs ("2:30 PM"). I played Touhou Project #8 (Imperishable Night) a while before the test, reviewed Macro and Collaboration with Kaew-sama, and finally went for the exam.

การสอบก็เน้นสบาย ๆ ไม่มีอะไรยากเย็นนัก เพียงแต่พอเปลี่ยนมาใส่เสื้อ Go for the Gold แล้วมันหนาวว๊อย หนาวมากด้วย แต่ก็นั่งทำต่อไป ทำอย่างมั่นใจมาก ทำแล้ว Next Next ไปเลย แทบจะไม่ได้ย้อนกลับมาทำใหม่ สรุปใช้เวลาไปประมาณ 17 นาทีครับ (จริง ๆ กะจะรอพี่แก้วหน้าห้องสอบ แต่เขาบอกให้ไปถ่ายรูปและสัมภาษณ์เลย) ตอนออกมาก็ไปรับป้ายชื่อสำหรับถ่ายภาพและสัมภาษณ์ต่อไป ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แต่ประหม่าและกดดันตกค้าง เลยให้สัมภาษณ์แปลก ๆ ไปหน่อยเลยเรา
The test was quite relaxed and nothing was extremely stressful, but the "Go for the Gold" shirt made it too cold in the exam room. However, I continued on and finished the test in 17 minutes. I thought I might wait for Kaew-senpai outside, but the examiner insisted that I proceed to the photographing and interviewing procedures immediately. There was some stress left on my nerves, and I gave an "unusual for my nature"-interview.

เราก็ไป ๆ มาๆ จนถึงตอนเย็น ๆ ก็ได้เวลากินข้าวกันละ คืนนี้มีการแสดงที่เขาว่าเป็นการแสดงของชนเผ่าต่าง ๆ ในแปซิฟิก ผมก็จำไม่ได้หรอกครับว่ามีอะไรบ้าง = ="
We went here and there until evening, when there was a show of various tribes and groups of people living in the Pacific ocean. Unfortunately, I couldn't remember what were there.

สุดท้ายก็นอนครับ นอนไปเลย
And I fell asleep almost immediately after laying back down on bed...

วันที่ห้า - Day 5 - 2008-08-01
Waikoloa, Hawaii

เนื่องจากวันนี้ไม่มีสอบ มีแต่ประชุมของบริษัทอย่างเดียว เราเลยออกไปเที่ยวกัน (พี่อ๊อดอยู่ประชุม) เราตัดสินใจไปที่ Kings Shops กับ Queen's Marketplace กัน แต่ว่าเนื่องจากไม่คุ้นสถานที่เลยรอรถนานมาก ไปถึงที่นั่นก็ไปเล็ง ๆ ของไว้ กลับมากินข้าว แล้วไปกันอีกรอบ (กินข้างนอกแพงแน่นอน ถ้ากลับมากินในโรงแรมจะคุ้มกว่า เพราะค่ารถไปกลับก็ $2 ครับ) ที่พวกเราซื้อมาก็มีพวกของฝากครับ ไม่มีอะไรมากนัก
Since we didn't have exam that day, we (except Mr. Aod) went to Kings Shops and Queen's Marketplace. We weren't familiar with the transportations, so it took quite a long time there and back. We went there in the morning, came back for lunch, and out again in the afternoon. (Spending $2 more seemed to be better than having lunch outside when we could have one for free.)

ส่วนตอนเย็นเป็นการเลี้ยงบาร์บีคิวที่ Kona Pool ซึ่งก็เป็นแบบฝรั่งครับ คือแฮมเบอร์เกอร์กับฮ็อทดอก ย่างกันสด ๆ และองค์ประกอบอื่น ๆ ของบาร์บีคิวแบบฝรั่งครับ ตอนนี้เราก็รู้จักกับทีมไต้หวันกับญี่ปุ่นดีขึ้น เพราะมีการคุยกันเป็นเวลาค่อนข้างนาน
In the evening, we had some BBQ at Kona Pool. We used this moment to get to know the Taiwan and Japan teams.

หลังกินเสร็จ เราก็เดินเลียบทะเลกลับห้องพัก ตอนเดินกลับมันค่อนข้างมั่ว ๆ เพราะเดินกันไม่ดูทางเท่าไหร่ มั่วไปเรื่อย ๆ คนทีมอื่น สิงคโปร์เอย ไต้หวันเอย เริ่มตามมาเรื่อย ๆ สุดท้ายเราก็กลับห้องกันถูกครับ นี่ไม่อยากคิดว่าถ้าหลงจะโดนด่าขนาดไหน เหอ ๆ = ="
After the meal, we walked along the seaside back to our rooms. We weren't familiar with the path, and the other team members including but not limited to Singapore and Taiwan followed us too. Fortunately, we got the way right and arrived safely. I don't want to think what would happen if we became lost.

วันที่หก - Day 6 - 2008-08-02
Waikoloa, Hawaii

เช้าวันนี้ก็ว่างอีกแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นต้องไปซ้อมพิธีรับรางวัลก่อน ซึ่งเขาก็จะจัดลำดับการยืนบนเวที โดยให้ยืนหน้ากระดาน ขึ้นทางด้านซ้ายของคนดู เดินไปทางขวา จัดแถวเรียงตามลำดับประเทศเป็นหลัก ที่เหลือก็ทำตามไป จากนั้นก็จดวิธีอ่านชื่อให้ถูกต้องครับ สุดท้ายก็ถ่ายรูปรวมกลุ่มกัน "เป็นฝูง ๆ" แล้วค่อยไปไหนก็ไปครับ
And it's free time again today, but we had to rehearse for the Gala Awards ceremony. We were to line up on the stage from right to left of the audience by country names, alphabetically. The officials then asked how to properly pronounce our names. We finally got "herded" into a big group (though not official, there's not everybody in the pictures) and took another photograph together.

หลังจากนั้นก็กินข้าว รอพี่อ๊อด แล้วก็ไปเที่ยวด้วยกันครับ (ก็ไป Kings กับ Queens นั่นแหละ) ไปซื้ออะไรกันอีกนิดหน่อย พี่อ๊อดซื้อเสื้อให้พี่แก้วกับผมคนละตัว แล้วเราก็กลับมาเตรียมตัวสำหรับงานพิธีครับ
After the rehearsal, we had lunch, waited for Mr. Aod, and set off for shopping again. This time we go along with some of the other [business] partners as well. He bought Kaew-senpai and me a couple of shirts. We went back to our rooms and prepared for the Gala.

[ให้ตายเหอะ พี่แก้วใส่ชุดนั่นแล้วหล่อกว่าตรูอีกเฟร้ย ทำไมฟระ ทำม้ายยยยยย!!!! >_<] ที่งานก็จะเป็นงานเลี้ยงแบบกาล่าครับ โดยจะล็อกโต๊ะไว้แล้วว่าใครนั่งตรงไหนได้บ้าง อาหารการกินก็เป็นแบบตะวันตกครับ ตรงนี้ไม่มีอะไรต้องพูดมาก (ยกเว้นอย่างเดียว คือกุ้งมังกรห่วยแตก เละยิ่งกว่ามันบดที่อยู่ในจานเดียวกันซะอีก) หลังจากกินกันเรียบร้อยก่อนเริ่มพิธีการก็ไปแจกของชำร่วย ซึ่งก็เป็นที่คั่นหนังสือจากจตุจักรนี่แหละครับ (ตรงนี้ไม่มีแปลอังกฤษนะ) ลงชื่อตัวเองใส่กระดาษไว้ข้างหลัง ง่าย ๆ แต่หลายคนก็ประทับใจครับ ส่วนพี่แก้วก็ให้ของไม่ต่างจากผมมากนัก ก็เลยดูดีพอ ๆ กัน ในตอนนี้ก็เริ่มมีเด็กสามสี่คนไปถ่ายรูป พวกเราก็ไปขอเขาถ่ายด้วย ไป ๆ มา ๆ นักเรียนมารวมตัวกันแทบจะหมดฟลอร์ กล้องเป็นสิบ ๆ ตัว เรื่องใหญ่ขึ้นมาซะได้แต่ก็สนุกดีครับThe Gala was, well, a Gala. We were directed to be seated and had Western dinner, typical one. There's nothing to talk much here, except that... the lobster was even more mashed than the mashed potato served beside it... . After eating, Kaew-senpai and I started giving gifts for other competitors and business partners. My gifts were some typical handcrafted bookmarks along with my informal name and email on the paper. Kaew-senpai's were similar in value, making us even for how our gifts fared. After a while, a few students lined up for a photo, we asked to join in, more and more came and it resulted into a huge group with more than ten cameras shooting our way. It got too large, but it was fun.


ในที่สุด เวลาอาหารก็หมดลงและพิธีการได้เริ่มขึ้น ทางบริษัท Certiport ได้สรุปประวัติความเป็นมาทั้งสิบปีที่ผ่านมาแล้ว และเสนอนโยบายสำหรับสิบปีถัดไป พิธีการดำเนินมาเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ถึงเวลาการประกาศรางวัลของการแข่งขัน MS Office แล้ว
And finally, the dinner ended and the ceremony starts. Certiport summed up what happened during their first ten years of business, and set their "Milestones for Empowerment" for the next ten years. The ceremony proceeded and finally, the results of the MS Office was about to be announced.

ผมถูกเรียกชื่อขึ้นเวทีต่อจากพี่แก้ว (ที่ยอมรับเป็นคำรบสองว่าแต่งสูทแล้วโคตรหล่อเลยว่ะ = =") แล้วเราก็ไปจัดแถวกันบนเวทีพร้อมกับนักเรียนคนอื่น ๆ จากนั้นพิธีกรขอให้เราตั้งแถวถ่ายรูปให้แคบเข้า จะได้ถ่ายติดทีเดียวทุกคนเลย จากนั้น การประกาศรางวัลก็เริ่มขึ้นจนได้
I was called to walk up the stage right after Kaew-senpai (which I admit, she looked great and even more manly than I did in those clothes) and lined up with the other competitors. The MC then asked us to line up in thicker formation for photography. And then, the announcement begins...

หลังจากที่สามและที่สองประกาศไปแล้ว ผมเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนประกาศที่สามเครียดอีกหน่อย แต่ตอนประกาศที่สองไปไม่ใช่เราก็นึกในใจว่าอดแน่แล้ว แต่ตอนที่ชื่อของผมถูกประกาศออกไปว่าได้รางวัลชนะเลิศนั้น ผมรู้สึกดีใจ และเหมือนว่าร่างกายจะปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง ใช่ ทุกสิ่งทุกอย่างจริง ๆ ผมแทบจะเป็นลมบนเวที เผอิญตั้งสติได้ ยกมือไหว้ขอบคุณท่านผู้ชมและคณะกรรมการ จากนั้นก็รับถ้วยแล้วกลับมาที่เดิม และจากนั้น สิ่งที่ ผมสนใจมากไม่แพ้กัน ก็คือลุ้นรางวัลที่หนึ่งของ Excel ต่อ ซึ่งพี่แก้วก็ได้ด้วย ตอนนั้นผมเริ่มได้สติคืนมา แต่จำอะไรไม่ค่อยได้
I got more and more stressed after the third place was announced. Actually, the stress built up on the third place because I expected that I must be the second then. However, the second prize wasn't mine, and I knew it's all over: game over, no prizes, no monetary awards, nothing like that anymore. But when I was declared the winner, everything in my body was released and let go of, including my consciousness as well. I almost fainted and fell to the floor when I got a hold of myself and paid respect to everybody in the room (with an unusual Wai given to the staffs and other visitors). After that, something motivated my excitement again, and that I regained full consciousness right when Kaew-senpai was declared the Excel winner as well. Sadly, I couldn't remember much back then.

หลังจากจบพิธีรับรางวัลแล้วก็ออกไปข้างนอก ถ่ายรูป ให้สัมภาษณ์นิดหน่อยเลย แล้วกลับเข้ามานั่งฟังการประกาศรางวัลประจำปีของบริษัทต่อไป ซึ่งก็เน้นไปถึงผู้ที่ทำประโยชน์ (ทางธุรกิจ) ให้แก่บริษัทนั่นเอง ไม่มีอะไรมาก จากนั้นก็ประกาศสถานที่จัดการประชุมและการแข่งขันในปีต่อไป:
After the awards, we went outside, took photos and gave some interviews. Then we went back in and watched the credits roll... not yet. There's another type of award for the most successful (we missed the IC3 World Cup part) people in the Certiport chain. And finally, the venue for next year's PATHWAYS and Worldwide Competition will be:

Toronto, Canada

หลังจากงานนี้จบลงเราก็ไปพบกับประธานบริษัท Certiport, David Saedi ซึ่งในระหว่างรอเขาเราก็พบกับผู้ว่าการรัฐ(?) Senator Norman Sakamoto (Senate of Hawaii) ด้วยครับ เห็นแล้วนึกถึงวิ่งควายหรือแข่งทำกระทงยักษ์บ้านเราที่มักจะมีผู้ว่าฯ ไปเป็นสักขีพยานครับ จากนั้นเราก็ไปที่ห้องรับรองแขกในพิธีหลังจบงานครับ
After the ceremonies finally ended, we met Mr. David Saedi (President of Certiport) and Senator Norman Sakamoto (Senate of Hawaii) who briefly congratulated us. We gave some more souvenirs and went on to the reception.

ในงานรับรองก็ไม่มีอะไรมากครับ เพราะเรา (แค่พวกเรา?) ไม่ได้กินอะไรมากมายนัก เราก็พบคนอีกหลายกลุ่มและพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยเรื่อย แล้วก็แอบมาหลังห้องเพื่อ (เอาเครื่องพี่อ๊อด) โทรกลับบ้านบอกผลการแข่งขันครับ เหตุการณ์ตลก ๆ ก็คือ พวกเราพยายามถอดแยกชิ้นส่วนถ้วยรางวัลในกรณีที่เอาขึ้นเครื่องไม่ได้ ซึ่งสุดท้ายเราก็ใส่มันกลับเข้าไปอย่างเดิมเพราะเอาออกมาดูจะเละเทะเกินไป แต่ก็ใช้เวลามหาศาลกว่าจะแก้ได้เรียบร้อยครับ
There's not much in the reception. We didn't drink, but talked a whole lot with many many people. Finally, we got a chance and sneaked to the back of the room and (used Mr. Aod's phone to...) phoned home. One funny thing was an incident involving disassembly of the trophy in case it's dangerous and inappropriate on airplanes. However, we had to put them all back to their places because disassembly created an even larger problem than the FCC safety regulations.

สุดท้ายก็กลับห้องซักที ตอนแรกกะว่าถ้าไม่เละมากจะกลับไทยมันทั้งสูทนี่แหละ แต่สุดท้ายก็จำใจเปลี่ยนชุดพรุ่งนี้แล้วนอนตอนเกือบเที่ยงคืน (หมายเหตุ ทางโรงแรมให้ออกตอนตีสี่จะได้ทันเครื่อง!!) ตอนพี่อ๊อดไม่อยู่ (พวกเรากลับมาก่อน นั่งรถกันมาสองสามคนนั่นแหละ) ทีมเกาหลีก็เอา "กิมจิ" มาฝากพี่อ๊อด แต่ที่ไหนได้ มีแต่เหล้ากับบะหมี่ถ้วยเต็มไปหมด กิมจิมีอยู่ซองเดียว ไอ้บ้าเอ๊ยยยยยยยยยยย = ="
Finally back to our rooms. At first I thought of wearing the Gala clothes back home due to my laziness, but after being outside the air-conned rooms too long, I decided to have a shower and change of clothes anyway. While Mr. Aod was away (we came back together without him, only Kaew-senpai and me if I remember correctly), some Korean team members offered us kimchi and left away without chance of declination. Of course they caused us trouble, there was one packet of kimchi, but awful great deal of noodles and Korean ale. =__="

ในที่สุดก็ได้อาบน้ำนอนซักที แต่นอนไม่ทันไรก็ต้องตื่นเพื่อออกจากโรงแรมไปที่สนามบินครับ
Finally, I had some chance to get clean and some sleep. But after a big while the hotel staffs told us to leave for the airport.

วันที่เจ็ด - Day 7 - 2008-08-03 & 04 (due to crossing the International Date Line)

วันนี้ก็กลับแล้วละ เราออกจากโรงแรมตอนตีสี่ ไปถึงสนามบินก็เป็นดังคาดครับ เขาแสดงความยินดีกันทั้งสนามบินเลยทีเดียว และอนุญาตให้เอาถ้วยขึ้นเครื่องได้ครับ เราเดินทางกลับไป Honolulu โดยสารการบิน Hawaiian Airlines ซึ่งบริการได้เรื่องกว่า Mesa เยอะครับ
We'll be leaving for home today! We checked out at about 4 in the morning. And the events at the airport were to my prediction: the entire staff noticed our trophies and congratulated us, also allowed the trophies on board. We went to Honolulu with Hawaiian Airlines, better than Mesa.

Honolulu, Hawaii
เรามาถึงโฮโนลูลูอีกครั้ง และไปหาอะไรกินกันนิดหน่อย จากนั้นก็เดินดูไปเรื่อยจนขึ้นเครื่องของ UA กลับไปยัง Narita ครับ แน่นอน มีคนสนใจเรา
And we're at Honolulu Airport again. We had something to eat and walked around until finally took the UA carrier to Narita. Yes, we were somehow an attraction there.

Tokyo, Japan
ตรงนี้เราไม่ได้ทำอะไรมากมายครับ ซื้อเน็ต โอนรูปส่งให้ทาง AR ตรวจสถานะความเป็นไป (ออนเอ็มกลับบ้าน ท่านพ่อแจ้งว่าจะมีกรรมการโรงเรียนไปสนามบินด้วย) กินข้าวกันอีกมื้อนึงแล้วก็เดินดูนั่นดูนี่ เล่นอะไรไปเรื่อยจนขึ้นเครื่อง
We didn't do anything much here apart from having another meal, wasting time, and window-shopping until we boarded.

Bangkok, Thailand
ในที่สุดก็ถึงบ้าน บ้านที่ยังไงก็น่าจะรู้สึกสบายและปลอดภัย เดินออกมาเจอใครบางคนกั้นเลนให้ไป Immigrate เป็นพิเศษ (รึเปล่า หรือคนน้อยเอง) และแน่นอน ขาดไม่ได้ "ท่านผู้นั้น" ก็มาด้วย (เลยรู้สึกกดดันขึ้นมาเลยเรา) มารับกันถึง Baggage Claim เลยทีเดียว (ปกติเขาไม่ให้เข้าครับ) ตอนนั้นผมใส่เสื้อเหลืองวิศวะ (ขอบปกสีเลือดหมู Engineering KU ใครเคยเห็นคงจะนึกออก) แล้วก็เอาสูทคลุมอีกที เข็นรถถือถ้วยกันออกมากับครอบครัวพี่แก้วและ "ท่านผู้นั้น" โดยมีเจ้าหน้าที่การท่าเดินนำให้ เลยงงว่าต้องไปทางไหนกันแน่ จนในที่สุดก็ไปถึงหน้าห้อง CIP ครับ
Finally 'home', which is supposed to be safe and sane. Somebody directed us to another immigration lane (or there weren't that many people anyway). And yes, 'that man' also came to see us arrive (now it's not sane anymore >_<), right in the Baggage Claim. We pushed the carts out, right through the customs (what if I brought something illegal in?!). The airport agents led us to the CIP room, which I haven't been before.


ที่หน้าห้อง CIP ก็มีคณาจารย์จากทางมหาวิทยาลัย (อธิการบดีและคณบดีวิศวะ) และทางโรงเรียนสาธิตฯ (เท่าที่จำได้มี อาจารย์ดารณี อาจารย์สมศักดิ์ อาจารย์เสาวรัตน์ อาจารย์ลัดดาวรรณ (อาจารย์โต) อาจารย์ประวิทย์ ลืมใครไปขออภัยครับ จะเพิ่มให้) มาแสดงความยินดีกับศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน และศิษย์ในอนาคต (จะอธิบายใน Edited Ver. นะครับ) เพื่อน ๆ ต้อนรับกันอย่างอบอุ่น แสดงความยินดี สื่อมวลชนสัมภาษณ์รับรู้ และพวกเขาก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข (ปิดเล่ม) ... ไม่ใช่นิทานหลอกเด็กนะเฟร้ยไอ้แมวบร้าาาาาาา!!! ... ก็อยู่คุยกันอีกเล็กน้อยแล้วก็กลับครับ ตอนแรกว่าจะไปเรียนเพราะขาดเยอะมาก ตั้ง 5 วัน แต่สุดท้ายก็ตื่นไม่ไหวเพราะกว่าจะถึงบ้านก็ตีสองได้ละมั้งครับ The teachers from the university (the rector and dean of engineering) and the laboratory school (quite many of them), as well as friends came to congratulate us as alumni, student, and future student (will explain in Edited Ver.) . There was a small press release and they lived happily ever since ... THIS AIN'T FAIRY TALE BAKA-NEKO!!! ... we talked a bit more and went home. I thought I would go to school the day after because I skipped 5, but I couldn't because I arrived home at about 0200.

Aftermath - หลังจากนั้น?

หลังจากนั้น ก็เป็นงานเลี้ยงขอบคุณในไม่นานต่อมา เนื่องจากไปแข่งขันสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติ ดีนะที่ในงานเขาใส่คำว่า "นักเรียน" ด้วย ไม่ใช่ "นิสิต" อย่างเดียว
A few days after arrival, the university held a commemorating ceremony and celebration for students.

ส่วนชีวิตในฐานะผู้แทนประเทศไทยชนะเลิศหลังจากนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมาก แต่ต้องทำตัวให้ดีขึ้น เป็นมิตรต่อผู้อื่นมากขึ้น และเป็นตัวอย่างที่ดีครับ
As for the life as the winner, it haven't changed much, but I have to behave better than before, be more friendly and a good example.

2008-07-17

ชีวิตแสนสั้น ตอนที่ 1 (คงมีแค่ตอนเดียวแหละน่า)

วันนี้ไม่รู้คิดจะทำอะไรดี เลยว่าจะเขียนเล่าบรรยายส่วนหนึ่งของชีวิตอันแสนสั้นของผมครับ

ช่วงนี้รู้สึกเบื่อจังเลย สอบอีกแล้วเหรอเนี่ย

ทำไมชีวิตเราถึงได้ดูเหมือนขี้เกียจ ๆ ก็ไม่รู้สิ ใครจัดค่ายก็ไม่ค่อยอยากไป อยากทำอะไรอยู่กับบ้านบ้าง แถมตารางเวลายังแน่นเอี้ยดไปหมดอีกด้วย แข่งขันก็เลือกที่มันเป็น Online Judge จะได้นั่งทำอยู่ที่บ้านได้ ไม่ต้องลากเอาความแก่ของเราไปถึงสนามสอบด้วยตัวเอง

ในแต่ละวันของผมทำอะไรบ้างนะ
0545-0630 ตื่น อาบน้ำ แต่งตัว (เบื่อจัง เช้าอีกแล้ว)
0630-0645 มาโรงเรียน ถึงซะที (เฮ้อ เรียนทั้งวันสินะ)
0645-0655 ส่งงาน อ.วิภาทิพย์ (อยู่ห้องทะเบียน คิดในใจ ทำไมไม่มีตะกร้าส่งงานไว้ที่ระดับเรานะ)
0655-0750 นั่งอยู่ที่ห้อง ไม่รู้จะทำอะไร ทำก็ทำไม่ได้ เพราะมันไม่มีงานอะไร (ว่าแล้วก็น้อยใจ ทำไมชีวิตเราหาความรักไม่ได้เลยนะ ไม่ใช่ว่าอยากมีความรักหรอก แต่มันดูแข็งกระด้างไปหน่อยมั้ง ไอ้ความรู้สึกที่ว่าเราไม่ควรชอบใครเพราะยังเรียนอยู่เนี่ย)
0755-0800 เก็บของ เคารพธงชาติ (ทำไมไม่ร้องเพลงชาติกันเลย หรือจะรอจนสิ้นชาติก่อนแล้วค่อยร้องหรือ มันผิดมากหรือที่จะร้องเพลงชาติ?)
0800-0830 นั่งโฮมรูม มีแต่เรื่องน่าเบื่อสินะ อยากให้เล่าอะไรสนุก ๆ บ้าง ทำไมมีเรื่องแจ้งเกี่ยวกับพฤติกรรมนักเรียนบ่อยจัง

0830-1205 เรียน บางทีก็ปล่อยช้า
1205-1215 กินข้าว ได้กินแค่นี้แหละ บางวันก็กินไม่ลง
1230-1305 ถ้าว่าง ก็ว่างไปเลย นั่งคุยเล่นเพราะขี้เกียจเอาการบ้านเช้ามาทำ บางวันก็ต้องประชุม ซึ่งก็มักเกินเวลาเรียนเข้ามา
1305-1635 เรียน เรียน และเรียน ทำไมโรงเรียนเราเรียนหนักขนาดนี้นะ แต่ก็ดีนะ เพราะเราไม่เรียนพิเศษแต่ก็ยังรู้เรื่อง แถมเกรดก็ใช้ได้เลยละ แต่อยากให้วันพฤหัสหยุดทั้งวันมากกว่า เพราะเรียน รด มาเหนื่อย ๆ ก็ต้องมานั่งเรียนต่ออีก

1645-1715 กลับบ้าน บางวันก็นั่งรถเมล์
1715-1750 ธุระส่วนตัว บางทีก็ใช้เวลามากแบบนี้แหละ
1750-1950 ทำการบ้าน
1950-2130 เล่นเกม - Oblivion Mount&Blade Orochi C&C3 Touhou etc. (สุดขั้วโคตร ๆ)
2130-2300 ทำงานนอกเวลา โปรเจกต์ไร้สาระ อ่านเมล์ คุยเล่น อ้าว ได้เวลานอนซะแล้ว ทำไมวันนี้หมดเร็วอีกแล้ว

-------

เวลาผ่านไปครึ่งปีแล้ว ชมรมภาษาต่างประเทศยังไม่ได้ตั้งเลย ใครมีจิตเมตตาก็เข้ากันด้วยนะครับ

-------

เราแข่ง MOS Word 2003 ประจำปี 2008 มาแทบตาย ได้ลงไก่โต้งลำโพงข่าวแค่บรรทัดเดียวเนี่ยนะ (IP แค่เข้ามหาลัยได้กันไม่กี่คนได้ลงสามหน้าเต็ม) แต่ช่างเหอะเนอะ ^ ^

-------

ぜつぼうした!!!
I'M IN DESPAIR!!!
ข้าสิ้นหวังแล้ว!!!

-------

ทำไมทุกคนคาดหวังกับเรามากมายเหลือเกิน เราเป็นคนธรรมดา ๆ นะ จะให้หวังอะไรมากมายได้ยังไง?

-------

คนเราเกิดมาชีวิตมันไม่ยาวเลย ผมนึกย้อนกลับไปไม่เท่าไหร่ก็เจอวันแรก ๆ ของชีวิตซะแล้ว อดีตที่อยากลืม ๆ ไปซะ แต่มันก็สำคัญ เพราะเป็นจุดเปลี่ยนและสิ่งที่ผมอยากหนีมัน ไม่ใช่หนีจากอดีต แต่เป็นการทะยานไปสู่ความก้าวหน้า ถีบตัวเองให้พ้นจากจุดแย่ ๆ ของชีวิต ไปสู่อนาคตที่สดใส ใครอยากไปด้วยก็คุยกันได้นะครับ

-------

บ้านเมืองกำลังมีปัญหา ทำไมเราไม่ช่วยกันแก้ไขละ แต่กลับมาจับผิดกันเอง ผมอยากรู้ว่าเวลารถไหลลงเขาจริง ๆ เราจะ...
1. โทษกันเอง (ประชาชนชั้นเลว)
2. สงบนิ่ง ดูความหายนะ (ประชาชนตาดำ ๆ)
3. ไปบอกให้คนขับตั้งสติ และให้พยายามเบรกรถ
4. ถ้าไอ้คนขับมันบ้าหรือขาดสติกู่ไม่กลับ ก็ถีบมันลงรถแล้วทำหน้าที่แทนมัน (รัฐ......)

เมื่อไหร่ ประเทศไทยจะรู้จักคำว่า "สามัคคี"?

-------

2008-05-09

MOS 2008 เกษตรเตรียมชิงแชมป์โลก!! -- Kasetsart for Worldwide in MOS Olympic '08!

[This is a bilingual post; you may read either Thai or English portion, it's quite the same.]

สวัสดีคร้าบพ่อแม่พี่น้อง วันนี้ผู้เขียนอารมณ์ดีมากมายเป็นพิเศษเลยละครับ เพราะหลังจากที่ลำบากตรากตรำ ((เหรอวะ?)) กับการฝึกซ้อมอันแสนหฤโหด ((อ่านนิดหน่อย ทำเล็กน้อย??)) ผู้เขียนก็ได้เข้าร่วมแข่งขัน MOS Olympic 2008 ในระดับมัธยมศึกษา โปรแกรม Microsoft Word 2003 และได้อันดับหนึ่งของประเทศไทย นอกจากนี้ยังได้เป็นตัวแทนไปแข่งระดับโลกด้วยครับทุก ๆ ท่าน!!!!
Greetings, everybody! The author is pleased today, for after his hard ((You must be joking!)) exercises ((how?!!)), he participated in Microsoft Office Specialist (MOS) Olympic 2008 Secondary school bracket, application MS Word 2003, and won the first NATIONAL PRIZE, as well as being the NATIONAL REPRESENTATIVE to the WORLDWIDE CHAMPIONSHIP!!!


นอกจากนี้ เนื่องจากตัวผู้เขียนเองนั้นอยู่สาธิตเกษตร (ทุกคนก็คงทราบอะนะครับ เพราะเขียนไว้ใน profile หน้าบล็อกแล้ว) ผู้เขียนเองก็ขอแสดงความยินดี และฝากเนื้อฝากตัวกับรุ่นพี่จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ด้วยครับ ที่ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยในโปรแกรม Excel (หลังจากที่ปีที่แล้วโดนใครกั๊กไว้ก็ไม่รู้?) และจะร่วมทีมกันไปแข่งขันที่มลรัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกาครับ
Furthermore, since the author is studying in Kasetsart University Laboratory School (which you may know if you can read Thai) which is governed by Kasetsart University (KU), he would also like to congratulate and give salutations to a senior from KU Faculty of Engineering as well (after she was somehow 'blocked out from 1st place' last year), and that they would team up for the Worldwide Competition in Hawaii, United States.

ซึ่งก็สรุปแล้วว่า // So here is the list of candidates::
Excel Candidate: Penporn Koanantakool, Kasetsart University Faculty of Engineering
Word Candidate: Chawanat Nakasan, Kasetsart University (Laboratory School) Faculty of Education

ตอนสอบพวกเราสองคนได้คะแนนเท่ากัน คือ 938 คะแนน ครับ
We got the same score, 938 out of 1000.

รูปเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าอยากดู ข้างล่างครับ (หน้าไม่ค่อยดีแล้วละตอนนั้น เหนื่อย เครียดเกิน แถมยิงแฟลชกันยังกะฟ้าผ่า)
Some pictures, if you would like to have a look, starting below. (The author's face is not as great, because he was feeling stressed and tired.)

** P.S. the flower loop made me look stupid, but I had to wear it, as all ceremonial Hawaiian stuffs all have them!

(done in English only from now)
Special Thanks:
- Advanced Research group & ARiT (MOS Contractor in Thailand)
- Sripatum University & All regional round venues!
- Siam University (Venue for Finals)
- Kasetsart University (from my own thanks)
- support@it-2u.com for the photos (cheap hosting in Thailand: it-2u.com)
- Microsoft (You know who they are!)
- Certiport (Authorized examination distributor)
- MOS Olympic 2008 Thailand Sponsors: United Airlines & Double-Goose Shirts.
- And of course, my own family! ^_^





2008-02-26

ประกาศรับสมาชิกจัดตั้งชมรมภาษาต่างประเทศ

นิยามและชื่อเรียก - Definitions and Referencing Names:
โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา = สาธิตเกษตร
Kasetsart University Laboratory School, Center for Educational Research and Development = "Satit Kaset", or "KUS"

นักเรียน หมายถึงนักเรียนในสาธิตเกษตร เว้นแต่มีการระบุเป็นอื่นในใจความ
"Student" refers only to students in Satit Kaset, unless told otherwise in context.


ลักษณะชมรม - Description:
วิชาการเฉพาะด้านภาษาต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นที่ภาษาที่มีการเปิดสอนในโรงเรียนสาธิตเกษตรเป็นหลัก ประกอบไปด้วยภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส

This club would aim for foreign language studies, focusing on English, Japanese, and French, the languages taught in Satit Kaset.


หลักการและเหตุผล - Reasons and Principles:
เนื่องจากโรงเรียนสาธิตเกษตรฯ ได้เปิดหลักสูตรการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศ ประกอบด้วยภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น และภาษาฝรั่งเศสมาอย่างต่อเนื่อง ทางหลักสูตรภาษาต่างประเทศจึงมีความมุ่งหวังที่จะจัดตั้ง "ชมรมภาษาต่างประเทศ" ขึ้นมา เพื่อดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรภาษาต่างประเทศ โดยมีนักเรียนเป็นผู้ดำเนินการใต้การดูแลของอาจารย์ที่ปรึกษา

The school of Satit Kaset had been teaching three foreign languages, namely English, Japanese, and French continuously. This club will further the purposes of these language subjects, with students operating the club under adviser teacher's advices.


จุดประสงค์ของชมรม - Purposes:
1. เพื่อใช้ในการดำเนินกิจกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับภาษาต่างประเทศ
1. To be used to operate and run activities that may concern foreign languages.

2. เพื่อการพัฒนาขีดความสามารถและศักยภาพทางด้านการใช้ภาษาและทักษะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาษาต่างประเทศของสมาชิกและผู้ร่วมกิจกรรม
2. To develop and further the limits and potential regarding foreign languages and related skills in members and participants.

<ว่าง - ยังไม่ครบถ้วน :: Waiting for further additions>


การรับสมัคร - Admission and Entry:
รับสมัครนักเรียนทุกระดับชั้นที่มีความสามารถหรือความสนใจในภาษาใดภาษาหนึ่งของชมรมฯ เป็นอย่างน้อย ไม่จำกัดคะแนนหรือความสามารถใด ๆ ทั้งสิ้น โดยจะรับสมาชิกจัดตั้งก่อนในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 (ตามปฏิทิน) หากสนใจให้ติดต่อผู้จัดตั้งชมรม...

Any students, regardless of GPA or special talents are acceptable as long as they have abilities, skills, or interests in any of the club's interested languages. Founding members will be accepted in the first calendar half of 2008. If you are interested, please contact founder via...


ติดต่อ - Methods of Contact:
ติดต่อโดยตรง นายชวณัฐ นาคะสันต์
Direct contact : Chawanat Nakasan

โทรศัพท์ / Telephone : 085-153-6802
อีเมล / E-Mail : admin@thaimodz.net

หรือจะทิ้งความคิดเห็นที่ใจความขอสมัคร พร้องแจ้งชื่อจริงไว้ด้วย
Or leave us a comment and your real name here.

หากท่านเก่งญี่ปุ่นหรือฝรั่งเศส ช่วยแปลข้อความทั้งหมดเป็นภาษาของท่านได้ เราจะพิจารณาเป็นพิเศษ (เห้ย?!)
If you are proficient in Japanese or French and volunteer to translate everything here into your language, we will specially consider your applications! (Just kidding! You don't need to do it!!)

2008-02-03

เขาชนไก่ ปีสอง

"น้าบบบบบ ก้าว!"
"1~~~~ 2."
"น้าบบบบบ ใหม่!"
"1~~~~ 2!"
"ไม่ พอ ใจ!"
"1~! 2!!"
"ต่อออออออ ไป!"
"3~~~~ 4, 1~~~ 2, 3 4 1!!"

เสียงนี้ช่างเป็นเสียงที่คุ้นหูนักเรียนชายหลาย ๆ คนเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนที่เปล่งวาจาเพื่อนับตัวเลขออกมา คนที่สั่งให้คนอื่นนับ คนที่ปากไม่พูดเท้าลากทราย (ฝุ่นตลบ) หรือแม้กระทั่งคนที่อ้าปากแต่แท้ที่จริงแล้วมันหน้าแดงแรงไม่มี ก็ว่ากันไป

ที่นี่ ที่ๆ นักศึกษาวิชาทหารทุกคนรู้จัก ผู้มีการศึกษาทุกคนรู้จัก กว่าสองร้อยปีมาแล้ว ที่นี่ได้เป็นสิ่งซึ่งจารึกประวัติศาสตร์ทางการทหารของประเทศไทยไว้ ในฐานะของสมรภูมิรบที่มีความสำคัญต่อสยามประเทศในสมัยนั้นอย่างยิ่ง ทัพของฝ่ายไทยสี่ทัพ สามารถหยุดยั้งการบุกรุกดินแดนจากพม่า ที่ใช้กำลังพลมากถึงเก้าทัพ ที่นี่คือทุ่งลาดหญ้า สถานที่แห่งประวัติศาสตร์ ที่นักรบไทย (แน่นอน พม่าด้วย) ได้สละเลือดเนื้อ ชีวิต น้ำตา หยาดเหงื่อ และฝังเอาจิตวิญญาณแห่งนักรบไว้ที่นี่ คอยให้พวกเรา - นักศึกษาวิชาทหาร - ได้สานต่อซึ่งอุดมการณ์ความรักชาติ ความรู้รักสามัคคี และจิตใจที่ตั้งมั่นเสียสละเพื่อแผ่นดิน ที่นี่ เป็นที่ๆ เหล่าดวงวิญญาณทั้งหลายเหล่านั้น ได้เฝ้าดูลูกหลานของแผ่นดิน เติบโตเป็นกำลังสำคัญของชาติ สมดังคำขวัญ "นักศึกษาวิชาทหาร คือ ลูกหลานของแผ่นดินไทย" ทุกประการ

ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ทุ่งลาดหญ้า และเขาชนไก่

จริง ๆ แล้ว การฝึกชั้นปีที่สองนั้นไม่มีอะไรเลยครับ แค่กล้าลุยนิดเดียวก็ใช้ได้แล้ว ที่เหนื่อยสุดก็คือการใส่หมวกเหล็ก ไถแถกๆๆๆๆ บนทราย (หงาย ถอยหลัง) เพื่อลอดลวดหนาม นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรยากครับ ผมยังไม่เหนื่อยเท่าไหร่เลยนะเนี่ย จริงจริ๊งงงง (เหรอฟระ แล้วที่กลับมาบ้านแล้วแก้สมการตรีโกณไม่ได้หมายความว่ายังไง????)

เตรียมตัว

อุปกรณ์ที่อยากให้เตรียมไป (นอกจากเครื่องแบบนะ):
  • ชุดฝึก ไม่ต้องหรอกครับ ถ้าไม่ชัวร์ก็เอาไป 1 ชุด (ซื้อหรือยืมก็ได้ครับ)
  • เสื้อยืด รด 2 ตัว
  • กางเกงใน 2 ตัว (ไม่ต้องกลับหน้าหรอกครับ ลงทุนหน่อย)
  • เครื่องสนาม เตรียมให้ครบ
  • ปากกา สมุด โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้าหมวด กองร้อย กองพัน (จดนิดหน่อย เพราะถ้าจดมากเพื่อนด่า ไม่จดครูโวย ผมเกือบโดนเพื่อนต่อยหน้าเพราะจดมากเกินไปครับ)
  • อุปกรณ์อาบน้ำแปรงฟัน ไม่ต้องเยอะนะครับ วันละครั้งเอง
  • ยาประจำตัว แป้ง (เผื่ออับมาก) กย.
  • ช้อน (แนะนำช้อนสั้น เพราะใส่กระเป๋าเสื้อได้ ผมเก็บติดตัวตลอด ไม่หาย สะอาดด้วย เพราะสอดไว้ระหว่างทิชชูสองแผ่น)
  • อาวุธ ยาเสพติด ผ้าอนามัย ไม่ต้องนะครับ (ผ้าอนามัย ทางกองพันขอมาว่ามีพวกชอบทิ้งเกลื่อนครับ สกปรก)
  • ฯลฯ สัพเพเหระ ตามคู่มือบอกเลยครับ
เรื่องสายเก่งนั้น อยากให้เอาติดไปครับ เพราะถ้าคาดเข็มขัดสนามอย่างเดียว มันก็จะรั้งข้างเดียวครับ เอวหรือสะโพกข้างที่ไม่ได้ห้อยกระติกจะแบกน้ำหนักเพิ่มครับ เพราะโดนเข็มขัดสนามรั้ง แต่ถ้ามีสายเก่งด้วย มันจะแบ่งไปถ่วงไหล่ครับ ***ควรปรับสายทั้งหมดให้พอดี และทำแต่เนิ่น ๆ จะได้ไม่วุ่นวายครับ

กระติกน้ำ ควรล้างให้สะอาด หากปากกระติกคมก็ควรตะไบออกเพื่อลบเหลี่ยมก่อน และถ้าเป็นไปได้ ให้หาขอบยางสำหรับกันรั่วใส่ไปด้วย ถ้าหาไม่ได้ เอาถุงพลาสติก (Food Grade นะ ไม่เอาก๊อบแก๊บ) ครอบก่อนปิดก็ได้ครับ

รองเท้า ขัดไปเลย แล้วไม่ต้องขัดอีก เพราะมันจะหมดสภาพหลังกลับมา!!!

วัน ว.

ออกจากบ้านให้เร็ว เพราะต้องไปถึง "สวนเจ้าเชตุ" (หรือบางคนเรียก "สวนเจ้าเชษฐ์") ก่อนหกโมงเช้า ที่นั่นจะมีแผงขายของแบบ last-minute ก่อนออกเดินทาง ใครจะซื้ออะไรรีบซื้อ มีห้องน้ำให้เข้าด้วย และเกาะกลุ่มเพื่อนไว้ดี ๆ จะได้ไม่โดนแยกรถครับ

เนื้อหาในวันนี้ จะเป็นเนื้อหาทฤษฎีเสียมากกว่าปฏิบัติ เพราะกว่าจะไปถึงทุ่งลาดหญ้าและเปิดการฝึก กว่าจะจัดกองร้อยกันได้ก็นานพอควร การเลือกคู่นอน (ตามที่ผมได้นะครับ) คือ เลือกใครก็ได้ในหมวดเดียวกัน แล้วยืนแถวตอนสองแถว คนที่อยู่ตับติดกันจะได้เต็นท์ติดกันด้วย

การเลือกหมวด และกองร้อย จะใช้การเข้าแถวแบบเต็มสิบ (กี่สิบก็เท่านั้นกองร้อย) และทุก ๆ ห้าแถวจะถือเป็นหนึ่งหมวด ตัดสิบเอ็ดตับแนวหน้ากระดานอีกที แล้วเอาเศษไปประกอบกัน ก็จะได้กองพันออกมาอย่างสวยงาม โดยที่แต่ละบล็อก 5*11 จะเป็นหนึ่งหมวดครับ (?)

อย่างที่บอกไป เนื้อหาเป็นทฤษฎีซะมากกว่าปฏิบัติ เข้าฐานนั่งฟังบรรยายไปเรื่อย ๆ ระหว่างเดิน ห้ามเตะฝุ่น เพราะจะทำให้เพื่อนเดือดร้อนครับ!!!

อาหารการกิน เสิร์ฟในถาด ล้างเอง เก็บเอง การอาบน้ำและการนอน แล้วแต่พฤติกรรม ยิ่งทำตัวดียิ่งได้พักมาก เพราะครูเขาก็ไม่ได้อยากตะโกนอีกหรอกครับ หลังจากที่เราเหนื่อยกันมาทั้งวัน

การเข้าเวร ศึกษาตารางเวรไว้ให้ดีครับ เขาจะจัดเวรตามเต็นท์ไป และขอให้ทุกคนจำสัญญาณผ่านไว้ เผื่อต้องใช้ครับ ถ้าเราเป็นเวร เจอใครเข้ามาในเขตกองพัน เราต้องถาม ถ้าเขาตอบไม่ได้ก็ไม่ให้เข้า (แน่นอน รวมถึงผู้บังคับบัญชาและนายทหารใด ๆ ก็ตามที่บอกสัญญาณผ่านไม่ถูก) และในทางกลับกัน ถ้าเรากลับเข้าที่ตั้งเองแล้วตอบไม่ได้ก็เตรียมนอนตากฝุ่นได้เลย

อากาศตอนกลางคืนไม่หนาวเสมอไปนะครับ!!

วัน ว+1

เอาละ วันนี้จะเหนื่อยหน่อย เพราะจะต้องเข้าป่าทั้งวัน และมีการฝึกกลางคืนด้วย หลังจากออกจากกองพันไปแล้วจะได้กลับมาอีกทีก็ดึกไปเลย เนื้อหาวิชาจะมีปฏิบัติมาก เพราะฉะนั้น ใครป่วย ใครมีโรคประจำตัว ต้องแจ้งครูก่อนเข้าฐานฝึกหรือก่อนออกจากกองพันเสมอ (ในเวลาพักก็ได้ครับ)

การฝึกจะทำให้เพื่อน นศท. ทุกนาย กลายเป็น นศท. ชุบแป้งทอด โดยไข่ที่ใช้จะเป็นทรายเนื้อละเอียดแห่งทุ่งลาดหญ้า (ในหน้าแล้ง) ส่วนเกล็ดขนมปังก็คือเศษกิ่งไม้ที่อาจติดมาได้นั่นเอง กระทะใบใหญ่ตั้งอยู่บนเปลือกโลก มีนามว่า "สถานีฝึก" และ นศท. ทุกท่าน ก็จะต้องโดนคั่วอยู่บนนั้นทั้งวันแน่นอน

อนึ่ง กระผมแนะนำให้ นศท. ทุกท่าน นำช้อนติดตัวไปเสมอ เนื่องจากต้องกินอาหารนอกที่ตั้งทั้งวัน ดังนั้น หากไม่ได้หยิบช้อนออกมาจากเต็นท์ในตอนเช้า ท่านอาจต้องแชร์เพื่อนใช้ทั้งวันไปเลยก็เป็นได้!!

ในตอนกลางคืน ก็จะมีการฝึกนิดหน่อย ประกอบระบบ Light & Sound เพิ่มสีสันในการฝึก ให้ นศท. ทุกนายจดจำค่ำคืนนี้ได้ดีทีเดียว (ห้ามเปิดไฟฉาย เพราะจะทำลายบรรยากาศอย่างมาก)

อาจได้อาบน้ำอีกถ้าทำตัวดี ๆ ครับ

วัน ว+2

วันสุดท้ายแล้ว ตื่นมาเก็บของกลับบ้าน (แนะนำให้เอาทุกอย่างลง rucksack ตั้งแต่ก่อนนอนเลยครับ แล้วตอนเช้าค่อยยัดแปรงสีฟัน ถุงนอน ผ้ารองนอน ตามลงไป) เก็บขยะ ซ่อมเต็นท์ (ถ้ามันหย่อน) ฯลฯ

แต่ภารกิจยังไม่จบสิ้นนะครับ เราจะฝึกลาดตระเวนกันอีกนิดหน่อย แล้วค่อยกลับกันครับ ตอนกลับ เราก็จะทำย้อนกลับกับตอนมา คือ เอาของขึ้นรถ ไปทำพิธีปิด (ซึ่งเหมือนกับพิธีเปิด) แล้วกลับกรุงเทพฯ ลงที่สวนเจ้าเชตุเหมือนเดิม แล้วกลับบ้าน ใครที่คิดจะเอา "น้ำหลวง" กลับบ้าน อย่าหวังครับ เพราะความร้อนจะทำให้ท่านและเพื่อน ๆ กินหมดเสียก่อน

หลังจากวันนั้น ท่านจะพบว่า ความทุกข์ที่เกินทน จะหลอมคนให้ทนทาน แต่ก็จะลด Int ท่านลงไปเช่นกัน T_T

Debriefing and Aftermath

หลังจากลงรถที่สวนเจ้าเชตุ ท่านก็จะถูกต้อนออกจากเขตทหารอย่างรวดเร็ว แนะนำให้ผู้ปกครองเอารถมารับท่านกลับ โดยนัดกันไกล ๆ หน่อย (แต่ไม่เอาสนามหลวงนะครับ มันกว้าง 555+) เพราะถ้าท่านใช้ขนส่งมวลชน ท่านอาจสร้างความเดือดร้อน (เล็กน้อย) ให้กับผู้อื่นครับ

ประสบการณ์ที่ได้รับอาจเป็นเหมือนเรื่องไร้สาระ แต่ใครจะไปรู้ละครับ สักวันเราอาจต้องเป็นเจ้าคนนายคน ปกครองคนเป็นร้อย ๆ ถ้าเราไม่เริ่มฝึกตัวเราเองให้มีวินัย แล้วเราจะไปสั่งสอนให้ใครมีวินัยได้ล่ะครับ?

ป.ล. ใครคิดจะฝึกเพื่อหนีทหาร อย่างน้อยช่วยให้ความร่วมมือในค่ายด้วยครับ เพื่อน ๆ จะได้ไม่เดือดร้อน

2008-01-05

ไว้อาลัยถวายสมเด็จพระพี่นางฯ

สืบเนื่องจากเหตุการณ์อันไม่คาดคิดที่ได้เกิดขึ้นมา พาให้ทั่วฟ้าทั่วแผ่นดินต้องร่ำไห้ กับการเสด็จจากไปอย่างไม่มีวันกลับของสมเด็จพระพี่นางฯ ผู้ทรงสร้างโครงการต่าง ๆ ในหลาย ๆ ทาง ให้แก่ปวงชนชาวไทย เป็นศูนย์รวมดวงใจที่สำคัญของประชาชนหลายกลุ่ม คุ้มครองสุขภาพประชาชนด้วยโครงการแพทย์อาสาที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เป็นที่เคารพรักยิ่งของประชาชนไทยทุกคนทั่วแผ่นดิน

ปวงประชาอาลัยทุกข์ใจนัก
ท่านที่รักแห่งดวงใจไทยทั้งผอง
ในวันนี้ขอประพันธ์ซึ่งร้อยกรอง
พระพี่นาง ฯ สองกษัตริย์แห่งชาติไทย

ทรงงานหนักมากมายเพื่อปวงชน
เพื่อทุกคนมีวันที่สดใส
เป็นศูนย์รวมดวงจิตและดวงใจ
วันนี้ชนร่ำไห้ทุกข์ทวี

แพทย์อาสาฯ ช่วยประชาในยามทุกข์
ทำเพื่อทุกผองไทยได้สุขศรี
ทุกคนล้วนทราบซึ้งพระบารมี
ที่ทรงมีต่อชาวไทยตลอดมา

โครงการสอวน. ก็เพื่อใคร
นอกจากเด็กไทยเราได้ศึกษา
ทั้งส่งเสริมสร้างสมพัฒนา
ขุมปัญญาชาติไทยให้แข็งแรง

ขอร่ำไห้อาลัยด้วยใจภักดิ์
ด้วยดวงใจใฝ่สมัครมิเคลือบแฝง
ด้วยคำกลอนเหล่านี้ชี้สำแดง
ว่าทรงเป็นแสงหนึ่งซึ่งรุ้งงาม

...

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า
นายชวณัฐ นาคะสันต์